มื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 นายณพลเดช มณีลังกา อดีตเลขานุการกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้เฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า วันนี้ทราบข่าวที่นายเรืองไกร รวมถึงนายสนธิญา เดินทางเข้าให้ถ้อยคำต่อ กกต. กรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะแคนดิเดตนายกของพรรคก้าวไกล กรณีการถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น หากพิจารณาแล้วคำพิพากษาล่าสุดเลขที่คดีแดง ลต สสข 24/2566 ลงวันที่ 2 พ.ค. 2566 กรณีถือหุ้นสื่อตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาได้วางหลักว่า
“การถือหุ้นเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ย่อมไม่มีอำนาจสั่งการให้บริษัทเผยแพร่ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองได้ การตีความบทบัญญัติของกฎหมายตามลายลักษณ์อักษร การมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเพราะเหตุเป็นผู้ถือหุ้นย่อมไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ” จึงถือว่าไม่ผิด เป็นกรณีที่ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ถูก กกต. นครนายก ตัดสิทธิ์เป็นผู้สมัคร ส.ส. เพียงเพราะถือหุ้น AIS 200 หุ้น และชนะ หลังฟ้องศาลฎีกาพิพากษา จึงไม่ถูกตัดสิทธิ์ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3) ว่าด้วยการถือหุ้นสื่อ โดยหลักแล้วแนวคำพิพากษาจะยึดโยงกันระหว่างศาล ถือเป็นความยุติธรรมอันสูงสุดครับ
“แต่วันนี้ผมเห็นนายเรืองไกร นำคำพิพากษาเก่าๆ ตั้งแต่คำพิพากษาที่ 20/2563 หอบมาให้กกต. พิจารณา มีเจตนาที่จะทำประการใดอันอาจให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลและประเทศชาติหรือไม่ หากพิจารณาความผิดที่อาจเกิดขึ้น หากมองกลับว่าคนร้องควรมีความรับผิดได้เช่นใดบ้าง พิจารณาได้ดังนี้
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 173 “ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่า ได้มีการกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกหมื่นบาท”
ความผิดตามมาตรา 173 มีองค์ประกอบดังนี้ครับ
- รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น
- แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน
- ว่าได้มีการกระทำความผิด
- โดยเจตนา
จากกรณีที่นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลถือหุ้นเพียง 42,000 หุ้น แต่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.0035% ของหุ้นทั้งหมด และมูลค่าในปัจจุบันหุ้นยังติดลบมีมูลค่าเหลือเพียง -56,910 บาท หากผู้ร้องทั้งสองได้ทราบคำพิพากษาล่าสุดว่าไม่สามารถสั่งการสื่อได้ถือว่าไม่ผิดนั้น ก็หมายความว่า ผู้ร้องทั้งสอง “รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น…” เป็นองค์ประกอบแรก การที่ผู้ร้องนำความเข้าแจ้งต่อ กกต. เป็นเจ้าพนักงานสอบสวน จึงครบองค์ประกอบที่สอง และได้ชี้ให้เห็นว่าผิดโดยมีความพยายาม บอกว่า “ผิดหรือไม่” เป็นการยกให้เห็นว่ามีโอกาสว่าได้มีการกระทำความผิด เป็นการครบองค์ประกอบที่สาม และผู้ร้องได้มีความพยายาม เตรียมเอกสารประกอบ พร้อมมาพบ กกต. เป็นครั้งที่สอง ถือเป็นการกระทำโดยเจตนาครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ ผู้ร้องจึงอาจต้องรับผิดตามป.อาญา มาตรา 173 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
หากเจตนาข้างต้นมีเจตนา ให้ กกต. ยุบพรรค จากข้อมูลที่รู้กันอยู่โดยทั่วไปว่าไม่ผิดดังมีคำพิพากษาได้วางหลักฎีกาล่าสุดไว้แล้ว มีเจตนาล้มล้างเสียงของประชาชน ที่มอบให้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งใช้อำนาจบริหารในระบอบประชาธิปไตย เข้าข่ายเป็นความผิดฐานกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 (2) มาตรา 137 และ มาตรา 326 ทั้งนี้ในส่วนของความผิดฐานแจ้งความเท็จและเป็นกบฏ ต่อแผ่นดิน เป็นความผิดต่อแผ่นดิน ประชาชนทุกคนมีสิทธิกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตามกฎหมายครับ หากมีการฟ้องร้องทั่วประเทศต่อผู้ร้อง อะไรจะเกิดขึ้นครับ ความวุ่นวาย บาปกรรม อาจสนองกลับผู้ร้องนะครับ ถ้าเขาร้องเหนือสุดใต้สุดไม่ว่าจะที่เชียงราย หรือ ยะลา ก็ต้องไปให้การครับ”