เพื่อไทยโพสต์เพจอีกพรรคเหมาะสมที่สุดตำแหน่งประธานสภา

วันที่ 26 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากพรรคเพื่อไทยได้ทวิตประเด็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ล่าสุดได้โพสต์ผ่านเพจ “Pheu Thai ใจตรงกัน – ครอบครัวเพื่อไทย” ความว่า พรรคเพื่อไทย เหมาะสมที่สุด #ประธานสภา พรรคเพื่อไทย

‘ประธานสภา’ ควรเปิดทางผลักดัน ‘ทุกนโยบาย’ ของ ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ ให้สำเร็จ ไม่ใช่ผลักดันวาระของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น สถานการณ์ปัจจุบันที่เป็น ‘รัฐบาลผสม’ มีภารกิจสำคัญใน MOU ร่วมกัน ไม่ว่าประธานสภาจะเป็นใคร มาจากพรรคใด ก็ต้องทำภารกิจร่วมกันให้บรรลุเป้าหมาย และหากจะพิจารณากันอย่างถ่องแท้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 116 และ 119 ประธานสภาต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง โดยเป็นประธานของ ส.ส.ทั้งสภา ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล รัฐธรรมนูญมาตรา116 จึงบัญญัติว่าประธานและรองประธานสภาผู้แทนจะเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองในเวลาเดียวกันไม่ได้

ประธานสภาจึงต้องผลักดันญัตติใดๆไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือประชาชนเข้าสู่สภา ไม่เลือกปฏิบัติ และหาทางลดอุปสรรคทั้งหลาย ตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภา

ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในวงการเจรจาพรรคร่วมรัฐบาล พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า การจัดสรรตำแหน่งจะคำนึงถึงความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก หากจะยกกรณีที่เพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ชนะโหวตทั้งนายกฯ และประธานสภามาโดยตลอด ไม่มีพรรคอันดับสองได้ นั่นเป็นเพราะเพื่อไทยชนะเลือกตั้งเด็ดขาด ได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฏร จึงชนะโหวตด้วยเสียงของ ส.ส.และผู้สนับสนุน

ในกรณีนี้ เราชนะมาด้วยกัน ก็ควรทำงานร่วมกันด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจในฐานะพรรรคร่วมรัฐบาล หลีกเลี่ยงที่จะใช้มวลชนกดดัน แต่ควรหาทางทำภารกิจเพื่อประชาชนร่วมกันให้สำเร็จ ประเทศจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด

“ก้าวไกล” ชู 45 ร่างกฎหมาย ยัน เดินบนเส้นทางการเมือง ไม่ใช่เพื่ออำนาจ

ขณะที่เฟซบุ๊กเพจของพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ประเด็น 45 ร่างกฎหมายเปลี่ยนประเทศไทย ก้าวไกลพร้อมผลักดันในสภา โดยระบุว่า ในสัญญาประชาคมที่พรรคก้าวไกลให้ไว้กับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ เรายืนยันว่าหากได้เป็นรัฐบาล จะพยายามอย่างเต็มที่ในการผลักดัน 300 นโยบายก้าวไกลให้สำเร็จ เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้มีการเมืองที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน มีสังคมที่เท่าเทียม เศรษฐกิจเติบโตอย่างเป็นธรรม มีระบบการบริหารราชการที่โปร่งใส มีนิติรัฐ นิติธรรม

ช่องทางในการผลักดัน 300 นโยบาย นอกจากอาศัย “กลไกอำนาจบริหาร” ผ่านการบรรจุนโยบายเข้าไปในวาระ ‘ร่วม’ หรือ MOU จัดตั้งรัฐบาลให้ได้เยอะที่สุด เพื่อผลักดันนโยบายผ่านกระทรวงต่างๆ ซึ่งจนถึงตอนนี้ ต้องรอการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งว่าพรรคไหนจะรับผิดชอบกระทรวงใด และวาระของแต่ละกระทรวงจะมีอะไรบ้าง

อีกช่องทางหนึ่งซึ่งพรรคก้าวไกลพูดมาตลอดว่าจะใช้ ไม่ว่าเราจะได้เป็นรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน คือการผลักดันนโยบายผ่าน “กลไกนิติบัญญัติ” ของระบบรัฐสภาโดยผู้แทนราษฎรของพรรค โดยเรามีร่างกฎหมายอย่างน้อย 45 ฉบับ เตรียมยื่นต่อสภาฯ แบ่งเป็นด้านต่างๆ ดังนี้

1.ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเมือง 11 ฉบับ

เป็นร่างกฎหมายที่มุ่งสร้างประชาธิปไตยเต็มใบ ปฏิรูปกองทัพ เอาทหารออกจากการเมือง และป้องกันรัฐประหาร เช่น การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจทั้งหมด สร้างแรงจูงใจในการสมัครเป็นทหารด้วยสวัสดิการและความก้าวหน้าทางอาชีพ, การจัดระเบียบโครงสร้างภายในของกระทรวงกลาโหมใหม่ แก้ไขให้เฉพาะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจประกาศกฎอัยการศึก, การยุบเลิกหน่วยงานที่คิดค้นในสมัยสงครามเย็นอย่าง กอ.รมน., การแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ด้วยการให้พลเรือนนำทหาร, การปฏิรูปตำรวจ รื้อโครงสร้าง ก.ตร. ให้ยึดโยงประชาชน และการนิรโทษกรรมคดีการเมืองที่เกิดขึ้นนับแต่การรัฐประหารปี 2549

2.ร่างกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ 8 ฉบับ

แก้ไขกฎหมายเพื่อลดโทษทางอาญาในฐานความผิดที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก เช่น การหมิ่นประมาท การฟ้องปิดปาก ความผิดตามมาตรา 112 และ 116 รวมไปถึงการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ให้เป็นการเอาผิดต่ออาชญากรรมบนระบบคอมพิวเตอร์ตามเจตนารมณ์เดิม ไม่ใช่นำมาใช้เพื่อปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ และการกำหนดโทษแก่เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมที่จงใจบิดเบือนข้อกฎหมาย

นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายที่ส่งเสริมสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีความหลากหลายทางเพศ เช่นกฎหมายสมรสเท่าเทียม ให้บุคคลทุกเพศสามารถแต่งงานกันได้ และการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ สิทธิในการเลือกคำนำหน้านาม และสิทธิของคนข้ามเพศ

3.ร่างกฎหมายเกี่ยวกับบริการสาธารณะ 4 ฉบับ

ปลดล็อกอำนาจของท้องถิ่นในการให้บริการสาธารณะอย่างมีอิสระมากขึ้น เช่น อำนาจในการดูแลถนนและสะพานทุกเส้นในพื้นที่ ที่ไม่ใช่ถนนเชื่อมระหว่างเมือง, การอนุญาตการเดินรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่, การอนุญาตกิจการประปาขนาดเล็กในพื้นที่ รวมไปถึงการมีกลไกควบคุมคุณภาพน้ำประปาและบทลงโทษผู้ให้บริการประปาที่ไม่ได้มาตรฐาน

4.ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูประบบราชการ 6 ฉบับ

ยกเครื่องประสิทธิภาพของระบบราชการ ให้เป็น ‘ราชการเพื่อราษฎร’ ด้วยการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น การสร้างรัฐโปร่งใส ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลแทบทุกชิ้นที่รัฐมีอยู่ได้, การทำให้คนโกงวงแตก ด้วยการออกกฎหมายคุ้มครองคนที่ออกมาแฉหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสมรู้ร่วมคิดกันทุจริตก่อนให้รับการลดโทษหรือกันเป็นพยาน, การแก้ไขปัญหาการรอการอนุญาตที่ยาวนานของทางราชการ โดยกำหนดให้ใบอนุญาตเกือบทุกประเภทต้องสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตภายใน 15 วันหลังยื่นขอ

5.ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดิน 8 ฉบับ

ปัญหาการจัดสรรที่ดินอย่างไม่เป็นธรรมเป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศ จึงต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับพี่น้องประชาชนซึ่งถูกกล่าวหาว่ารุกที่ป่า ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นไม่ได้มีสภาพเป็นป่ามานับร้อยปีแล้ว เช่น ปลดล็อกที่ดิน ส.ป.ก. โดยการเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก. ให้เป็นโฉนด อย่างเป็นธรรม คืนให้กับประชาชนผู้มีสิทธิ และแก้ไขปัญหา ‘ปลูกมะนาวกลางกรุง’ ด้วยการแก้ไข พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

6.ร่างกฎหมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจ 4 ฉบับ

แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ด้วยการปลดล็อกข้อจำกัดในธุรกิจผูกขาด โดยเฉพาะธุรกิจสุรา ให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถผลิตสุราได้, เพิ่มเงื่อนไข สร้างกลไกป้องกันทุนใหญ่กินรวบผูกขาดทางการค้า, ปรับบทลงโทษ ลดเงื่อนไข แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการออก พ.ร.ก. ประมง สมัย คสช. ที่ทำให้การประมงไทยตกต่ำ และการเก็บภาษีความมั่งคั่งจากคนที่มีทรัพย์สินรวมเกิน 300 ล้านบาท

7.ร่างกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม 2 ฉบับ

สิทธิในการหายใจด้วยอากาศที่สะอาดเป็นสิทธิของคนไทยทุกคน จึงต้องมีกฎหมายเพื่อรับประกันสิทธิและสร้างเครื่องมือในการลงโทษผู้ที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้ประชาชนในละแวกใกล้เคียงได้ตระหนักเตรียมพร้อมรับมือกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ต้องมีการสร้างกลไกการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจัง เช่น การสร้างตลาดคาร์บอนเครดิตภาคบังคับสำหรับธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ได้ตามเป้าหมายร่วมกันของประชาคมโลก

8.ร่างกฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน 2 ฉบับ

ประกันสิทธิในการรวมตัวกันของแรงงานทุกประเภท เสริมสร้างสวัสดิการที่ดีขึ้นให้กับพี่น้องแรงงานทุกคน อาทิ การกำหนดให้ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ (หยุดเสาร์-อาทิตย์) หากเกินต้องมี OT การลาคลอดโดยได้รับค่าจ้าง 180 วัน แบ่งวันลากันได้ระหว่างพ่อ-แม่ การห้ามเลือกปฏิบัติในการรับเข้าทำงาน เช่น การห้ามบังคับตรวจโรคที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน

พรรคก้าวไกลยืนยันว่า เราเดินบนเส้นทางการเมือง ไม่ใช่เพื่อตำแหน่งหรืออำนาจ แต่เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง กฎหมายทั้ง 45 ฉบับนี้ จะสามารถแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้จริง และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยมีการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *